ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ธรรมะเหนือมิติ

๑๙ ธ.ค. ๒๕๕๒

 

ธรรมะเหนือมิติ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว มาเข้าของเราละ

ถ้าพูดเรื่องเวรเรื่องกรรม เรื่องการเกิดและการตาย ผลของวัฏฏะ เรื่องมิติไง เห็นไหม ๑๐๐ ปีของเราเท่ากับเขา ๑ วัน นี่มิติมันเป็นมิติ มันเป็นผลของวัฏฏะ ใช่ มันเป็นความจริงอยู่ นี้เป็นความจริงอยู่ ในเมื่อเราอยู่ในมิตินี้ เราเกิดมาในมิตินี้ มันก็คือมิตินี้แหละ แต่ใจเวลาประพฤติปฏิบัติไป เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูสิ ดูอย่างพระเทวทัต เทวทัตคือจะแปลงร่างแปลงกายไปเป็นงูพันอยู่บนศีรษะของอชาตศัตรู อันนั้นคืออะไร?

สิ่งนี้มันมีอยู่ มันไม่ใช่เป็นความมหัศจรรย์อะไรเลยนะ ถ้าเป็นความมหัศจรรย์

ในปัจจุบันนี้นะ มีมากเลยนะ พวกทำคุณไสยอะไรกันนี่ คนครอบครัวไหนไม่โดนไม่รู้เรื่องนะ แล้วทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้หรอก วิทยาศาสตร์พิสูจน์บอกมันไม่มี แต่เวลาครอบครัวไหนถ้าโดนเรื่องอย่างนี้ไปนะ มีปัญหามากเลย เพราะมันมีความขัดแย้งในความคิดไง มีความขัดแย้งทางความคิดแล้วครอบครัวนั้นต้องการความอบอุ่น ครอบครัวต้องการความเข้าใจ แล้วมีสภาวะปัญหาอย่างนั้นก็ต้องแก้ไขกันไป แล้วมีไหม?

ไสยศาสตร์มันมีตลอดเวลา ไสยศาสตร์มันเกิดจากใจใช่ไหม เกิดจากผู้ที่ทำคุณไสยจิตใจเขาเป็นสมาธิมากน้อยแค่ไหน ถ้าสมาธิของเขาเข้มแข็งดี ผลของมันจะมีคุณภาพมาก ถ้าจิตใจเขาไม่ค่อยเข้มแข็งเท่าไร คุณภาพมันจะน้อยลง คุณภาพอันนั้นมันจะให้ผลกับคนที่โดนของ ว่าคุณภาพมันมีมาก-น้อยแค่ไหน อันนี้ก็เป็นเรื่องหนึ่ง

แต่อีกเรื่องหนึ่ง เรื่องการทรมาน อยู่ในสมัยพุทธกาลเหมือนกัน เวลาพระพุทธเจ้าให้พระโมคคัลลานะไปทรมาน มันมีไอ้ที่ว่าทำขนมเบื้องน่ะ เป็นคนขี้เหนียวมาก เป็นคนขี้เหนียวนะ คนขี้เหนียวมากๆ เลย แต่มันมีอำนาจวาสนาที่จะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ไง ไปเห็นคนเขาทำขนมเบื้อง อยากกินนะ เศรษฐีนะ ขนมเบื้องเป็นแผ่นๆ เล็กๆ ขนมเบื้องอินเดีย ไปเห็นเขาแล้วอยากกินมาก แต่เศรษฐีอยากกินมากแต่เสียดายสตางค์ไม่กล้าซื้อ คิดดูความอยากกินนะ กลับมาบ้านมานอนเป็นไข้เลย นอนซมเลย ภรรยาถามว่า “เป็นอะไร?”

“เป็นไข้”

“เป็นไข้เพราะอะไร?”

“เป็นไข้เพราะอยากกินขนมเบื้อง” อยากกินขนมเบื้องจนเจ็บไข้ได้ป่วยเลย โอ๊ย! แฟนก็บอก

“ทำไมทำไม่ได้ เราก็ทำกันสิ เราทำขนมเบื้องกินก็ได้ เพราะไปซื้อกินก็เสียดายสตางค์ใช่ไหม อย่างนั้นเราทำกันเอง”

อ้าว ทำเอง ถ้าทำข้างล่างไม่ได้เดี๋ยวคนเห็นจะขอกิน ก็เลยไปทำบนปราสาทชั้นที่ ๗ ขึ้นไปทำข้างบน กะกินกัน ๒ คนไม่ให้ใครเห็นเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเล็งญาณเห็นว่าจะมีอำนาจวาสนาเป็นพระอรหันต์ได้ พอมีอำนาจวาสนาได้นะ ขึ้นไปทำขนมเบื้องบนชั้นที่ ๗ นะ คิดว่าปลอดคนแล้วไง

พระโมคคัลลานะมาลอยอยู่กลางอากาศ ลอยอยู่ตรงหน้าต่างนะ กำลังทำขนมเบื้องอยู่ โอ้โฮ ไปเห็นพระโมคคัลลานะนะ คิดติในใจนะ โอ้โฮ หนีขึ้นมาถึงชั้นที่ ๗ แล้วนะ นึกว่าจะไม่มีใครเห็น โอ้ พระโมคคัลลานะมาขอบิณฑบาต ด้วยประเพณีนะ แหม ก็ตัดใจนะ ตัดใจ นี่อยู่ในธรรมบทด้วย ตัดใจว่าตักแป้งเล็กๆ ทำเล็กๆ ถวายพระนี่เล็กๆ นี่ก็พอ อย่าให้มาก

พอตักแป้งเล็กๆ ด้วยฤทธิ์เห็นไหม พอละเลงไปในกระทะเต็มแผ่นเลย โอ๋ ไม่เอา เอาอันใหม่ อยู่อย่างนั้นนะ สุดท้ายมันทำไปก็ทำไม่ได้แล้ว เพราะด้วยฤทธิ์ของพระโมคคัลลานะ มันไปไม่รอดแล้ว พอไปไม่รอดปั๊บ ขนมเบื้องที่ทำไว้มันก็อยู่ในถาดใช่ไหม เป็นชิ้นๆๆๆ นะ ตัดใจ ตัดใจว่าให้สักชิ้นหนึ่ง ชิ้นไหนก็ได้ดึงชิ้นหนึ่ง พอดึงชิ้นนั้นขึ้นมา มันดึงไม่ออก ดึงชิ้นมันก็ติดขึ้นมาทั้งถาดเลย โอ๊ย! อย่างนี้ยิ่งยุ่งไปใหญ่เลย

สุดท้ายแล้วมันด้วยวาสนา เลยตัดใจว่าจะใส่บาตร ด้วยความโกรธไง ว่าจะใส่บาตรพระโมคคัลลานะ พระโมคคัลลานะไม่ยอมรับ พระโมคคัลลานะไม่รับแล้ว บอกว่ามันไม่เป็นธรรม พระโมคคัลลานะมาทรมานอยู่ บอกไม่รับ ถ้าจะถวายต้องไปถวายพระพุทธเจ้า ก็เลยพาไปถวายพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเทศน์เป็นพระอรหันต์เลย ดูขี้เหนียวขนาดนั้นนะ ความขี้เหนียวเห็นไหม

แต่โดยฤทธิ์โดยการเหาะเหิน สมัยพุทธกาล ๒,๐๐๐ กว่าปีแล้ว วิทยาศาสตร์ยังไม่มี ถ้ายังไม่มี การกระทำอย่างนั้นมันต้องเกิดขึ้นตามความเป็นจริง แล้วเวลาพูดนะ เราถึงเชื่อเวลาพระโมคคัลลานะที่บอกว่าอยู่กับพราหมณ์ ไปอยู่ที่พราหมณ์นิมนต์ไว้แล้วลืมใส่บาตร เห็นไหม ข้าวยากหมากแพงไง ไปถึงพอดีมีม้า ค้าม้าต่างเขาเอาม้ามาจะมาขายม้า เขามาเขาก็มีอาหารม้ามาด้วย ข้าวกล้อง ม้ากินวันละลิตร ก็ให้พระองค์ละลิตร

พระอานนท์ก็เอามาบดเป็นแป้งแล้วเอาน้ำพรมให้ฉัน เป็นอยู่ ๓ เดือน จนพระโมคคัลลานะก็ทนไม่ไหวนะ คำพูดคำนี้ไง พอทนไม่ไหวปั๊บ ไปขอพระพุทธเจ้าเลย

“ผมจะพาพระพวกนี้เหาะไปบิณฑบาตอีกทวีปหนึ่ง”

เรามาคิดนะ คิดแบบวิทยาศาสตร์นะ ๒,๐๐๐ กว่าปีมาแล้ว ตะวันออกกลางแถวอียิปต์นี่ ตอนนี้เขา ๔,๐๐๐ กว่าปี เราจะบอกว่าสมัยนั้นนะ ถ้า ๒,๐๐๐ กว่าปีสมัยพระพุทธเจ้านะ ทางตะวันออกกลางทางนี้ ประเทศชาติเขาเจริญอยู่นะ มันมีในโลกนี้มันก็เหมือนกับเราปัจจุบันนี้ เรารู้อยู่ว่าในโลกนี้มันมีกี่ทวีป มันมีประเทศชาติอยู่ที่ไหนบ้าง มันมีรัฐต่างๆ มากมายมหาศาลเลย

แต่สมัยนั้นไง สมัย ๒,๐๐๐ กว่าปี เอาวิทยาศาสตร์มาเทียบไง ว่าตะวันออกกลางมันมีตั้ง ๔,๐๐๐ ปี ๕,๐๐๐ ปี ๖,๐๐๐ ปี แล้วนี่ ๒,๐๐๐ กว่าปีใช่ไหม นี้พระโมคคัลลานะนี่สมัยนั้นอย่างมากก็มีพวกอาวุธก็มีพวกดาบ พวกรถ เป็นสมัยโบราณ พระโมคคัลลานะไปบอกพระพุทธเจ้าเลย บอกว่า

“จะขอ จะให้พระจับมือกัน แล้วจะพาเหาะไปบิณฑบาตอีกทวีปหนึ่ง”

พระพุทธเจ้าไม่อนุญาต

พอไม่อนุญาตนะ บอกว่า “อย่างนั้นจะพลิกง่วนดินขึ้นมา” ดินสอพอง คนโบราณเราจะกินง่วนดิน บอก “เราจะพลิกง่วนดินขึ้นมาเพื่อให้พระได้ฉันได้”

พระพุทธเจ้าถามพระโมคคัลลานะ “แล้วประชาชนที่อยู่นี่จะทำอย่างไร?”

“ข้าพเจ้าจะกางมือของข้าพเจ้าออกให้เป็นทวีปเลย แล้วย้ายพวกนั้นมาไว้บนฝ่ามือของข้าพเจ้าก่อน แล้วพลิกขึ้นมา”

“พลิกขึ้นมาเสร็จแล้วนะ พอพลิกขึ้นมาเป็นพื้นฐานแล้วค่อยเอาประชาชนนี้วางลงไปบนนั้นเหรอ?”

เราจะบอกว่าคำพูดนี่เป็นคำพูดระหว่างพระโมคคัลลานะกับพระพุทธเจ้า ถ้าไม่เป็นความจริง พระพุทธเจ้าจะยอมรับไหม? พระพุทธเจ้าจะยอมรับไหมว่าให้คนมาพูดโกหกซึ่งๆ หน้านี้เป็นไปได้ไหม? แล้วพระโมคคัลลานะเป็นลูกศิษย์ ถ้าเป็นลูกศิษย์แล้วทำไม่ได้จริงจะกล้าพูดกับพระพุทธเจ้าไหม?

นี่พูดถึงของอย่างนี้ สมัยนั้นมันยังไม่มีวิทยาศาสตร์ คนที่ทำได้จริงคือว่าคุณภาพความจริงที่ทำได้จริง แต่ในสมัยปัจจุบันนี้ สิ่งที่ทำๆ กันอยู่ เห็นไหม เข้าฌานสมาบัติเรื่องฤทธิ์เดช มันเป็นเรื่องโกหก ๙๙ เปอร์เซ็นต์ เพราะของจริงนะ

ดูเราพูดบ่อย ว่าตอนหลวงปู่เจี๊ยะท่านอยู่กับหลวงปู่ขาว ไอ้พวกที่ทำสงครามเวียดนาม เขาไปทิ้งระเบิดเวียดนามแล้วเขากลับมา เขาต้องมาสลัดระเบิดทิ้ง แล้วเขามาเจอหลวงปู่ขาว แล้วพอเสร็จแล้วพอลงมา เขา ทหารใช่ไหม เขาก็มีเพื่อนเป็นคนพื้นที่ เขาบอกให้พาไปหาพระไง ก็พาไปวัดไหนก็ไม่ใช่ พาไปไหนก็ไม่ใช่

วันนั้นหลวงปู่ขาว แล้วมีอาจารย์อีกองค์หนึ่ง แล้วก็หลวงปู่เจี๊ยะ ท่านบอกท่านนั่งองค์ที่ ๓ พอฝรั่งมันโผล่เข้าถ้ำกลองเพล มันชี้เลยองค์นี้ องค์นี้ องค์นี้ องค์นี้เลย

เราบอกว่าของจริงท่านไม่พูดไง หลวงปู่ขาว หลวงปู่แหวน ครูบาอาจารย์นี่

มีพวกทหารอากาศสมัยนั้นเขาเจอกันบ่อย นี่เราพูดถึงว่าข้อเท็จจริงที่มันมีอยู่จริง แต่พระที่มีอยู่จริงเขาไม่เอามาพูดกัน คนที่พูดออกมาส่วนใหญ่แล้วพูดประชาสัมพันธ์ มันเพื่อประโยชน์กับตัว สิ่งที่มันเป็นมันมี แต่สิ่งนี้แล้ววิทยาศาสตร์จะพิสูจน์กันได้อย่างไร?

ถ้าจะว่ามันเป็นพุทธศาสน์มันก็ไม่ใช่ เพราะพระพุทธเจ้าพูดถึงโลกียะ สิ่งนี้เป็นฌานโลกีย์ ฌานโลกีย์ไม่เกี่ยวกับพุทธศาสนา ฌานโลกีย์ไม่เกี่ยวพุทธศาสนานะ ศาสนานี่เป็นพุทธศาสน์ พุทธศาสน์นะ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ศาสนาพุทธอยู่ที่นี่ แต่ในเมื่อหัวใจของคน เวลาหัวใจคนที่มันเกิด-ตาย คนแต่ละคนที่เกิด-ตายมา พันธุกรรมทางจิต เห็นไหม คนแต่ละคนมันพันธุกรรมทางจิต มันเกิด-ตายมา

ศาสนาพุทธมี ๒,๐๐๐ กว่าปี แล้วเวลาพระพุทธเจ้าย้อนอดีตชาติไป เห็นไหม ไม่มีต้นไม่มีปลาย เราเกิด-ตายมาก่อนพระพุทธศาสนากี่รอบ พอจิตที่มันเกิดก่อนหรือตายก่อนพุทธศาสนา มันสะสมพันธุกรรม สะสมฤทธิ์เดช สะสมความอับเฉา สะสมสิ่งที่เป็นบาปเป็นกรรมในหัวใจมามหาศาลเลย

นี้พอมันทำ เรามาประพฤติปฏิบัติ “พุทธศาสน์” พุทธศาสน์คืออริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มรรคญาณที่จะเข้าไปชำระกิเลส แต่พื้นฐานของจิต ถ้ามีอำนาจวาสนามา มันมีพลังของมัน พอมันมีพลังของมัน เหมือนกับน้ำมันดิบ ถ้าใครเจอน้ำมันดิบ ใครเจาะไปถึงน้ำมันดิบ จะได้ผลประโยชน์จากน้ำมันดิบ ดูสิ น้ำมันดิบมันมีคุณค่ามาก จิตของเราถ้าทำความสงบของใจเข้าไป ด้วยคุณธรรมของจิต ด้วยสัมมาสมาธิ มันเจาะเข้าไปถึงบุญกุศลอันนั้น มันแสดงตัวออกมา นี่จริตนิสัยของคนมันไม่เหมือนกัน

เวลาเขาพูด เห็นไหม บอกว่ากำหนดพุทโธ พุทโธเลย มันจะมีติดนิมิตติดอะไร เราบอกจะกำหนดอะไรก็แล้วแต่ ถ้ามันเป็นสัจจะความจริง ถ้าจิตมันสงบเข้าไปถึงฐานอันนี้ มันจะไปเห็นข้อมูลอันนั้น ไปเห็นพันธุกรรม คือบุญกุศล สิ่งที่ทำมาของจิตมันจะแสดงออกมา

สิ่งที่แสดงออกมา ถ้าแสดงออกมา พอแสดงออกมาตามข้อเท็จจริง บางคนอย่างเช่นประเทศไทยไม่มีน้ำมัน ต้องซื้อเขาตลอดเวลาเลย จิตของเราถ้าข้อมูลมันเรียบง่าย มันไม่มีฤทธิ์มีเดช มันไม่มีเห็นนิมิต มันก็ธรรมชาติของมันอย่างนั้น ถ้าธรรมชาติของมัน จิตของคนมันไม่เหมือนกัน

โลกๆ หนึ่งก็คือโลกทั้งใบหนึ่งใช่ไหม เวลาจิตก็โลกๆ หนึ่ง โลกคือหมู่สัตว์ โลกคือจิต จิตนี้ก็เป็นโลกๆ หนึ่ง เห็นไหม เหมือนกับโลกนี่เจาะลงไปแล้ว โลกเรามีน้ำมันดิบ มีน้ำมีต่างๆ ดูดาวเคราะห์ดวงต่างๆ ในจักรวาลนี้มันไม่มี เห็นไหม ดาวทุกดวงอยู่ไม่ได้ ไม่มีออกซิเจน ไม่มีน้ำอยู่ไม่ได้

แล้วจิตของคนมันก็เหมือนโลกใบหนึ่งเลย โลกใบหนึ่งเวลาเจาะลงไป พอเจาะลงไปถึงที่สุด ถ้ามันได้น้ำ มีน้ำ มีน้ำมันดิบ มีอะไรมีต่าง มันมีทรัพยากรที่ดำรงชีวิตได้ไง ทีนี้พอเรากำหนดพุทโธ พุทโธเข้าไป พอจิตเข้าไปถึงตรงนี้ มันแสดงออกมา

ดูเราเจาะน้ำ ถ้าน้ำมันพุ่งออกมา เพราะพลังงานของมันมากๆ เลย โอ๋ ฤทธิ์เดชมันจะมีของมันนะ อันนี้ถ้าครูบาอาจารย์เป็นนะ มันต้องกลับมาที่ตัวโลก เพราะสิ่งนั้นเกิดจากโลก อย่างทรัพยากรอยู่บนโลก

“ความสงบของใจ” ถ้าใจมีความสงบของมัน พอเข้าไปถึงตัวโลกนี้แล้ว ตัวโลกมีทรัพยากรมาก-น้อยแค่ไหน ทรัพยากรมาก-น้อยแค่ไหนมันก็มีฤทธิ์มีเดชอย่างที่เป็นขึ้นมา ทีนี้เรียกว่าฌานโลกีย์ สิ่งนี้มันเป็นคุณสมบัติ ฌานโลกีย์ โลก โลกคือตัวจิต โลกคือธรรมชาติของมัน แล้วพอเข้าไปถึงมัน มันแสดงออกโดยธรรมชาติของมันก็เท่านั้น นี่ฌานโลกีย์ สิ่งนี้มีอยู่ในโลกไง นี้เข้าถึงหรือเข้าไม่ถึงล่ะ?

ถ้าเข้าถึงขึ้นมามันก็แสดงออก แล้วทุกคนจะทำได้อย่างนี้ไหม ถ้าทุกคนทำได้อย่างนี้ ทุกประเทศก็ต้องมีน้ำมันดิบเหมือนกัน ทุกประเทศในโลกนี้เลยไม่ต้องซื้อน้ำมันดิบประเทศอื่นมาใช้เลย ทุกประเทศต้องเจาะลงไปแล้วเจอน้ำมันดิบหมด ใช้ได้หมดทุกประเทศ มันไม่มี บางประเทศมี บางประเทศไม่มี เห็นไหม

จิตก็เหมือนกัน บางดวงจะมีสภาวะแบบนี้ บางจิตมีสภาวะแบบนี้ นี้ครูบาอาจารย์ที่เป็น ทุกประเทศในโลกนี้ก็ต้องมีระบบเศรษฐกิจของประเทศนั้น เพื่อจะให้ประเทศนั้นอยู่ได้ การภาวนาเหมือนกัน ถ้าถึงจิตแล้วย้อนกลับมาที่จิตของตัว ถ้ากลับมาที่จิตของตัว พุทโธ พุทโธหรือใช้ปัญญาควบคุมไว้ไม่ให้มันออกรู้ พลังงานนั้นไม่ให้มันสูญเปล่า

ถ้าพลังงานไม่สูญเปล่า ความไม่สูญเปล่าเป็นสัมมาสมาธิเกิดตรงนี้แล้ว ถ้าสัมมาสมาธิเกิดตรงนี้แล้ว ทรัพยากรนั้นจะมาใช้ทำอะไร ถ้าทรัพยากรนั้นเอามาใช้เพื่อประโยชน์กับประเทศชาตินั้น ทรัพยากรนั้นจะเป็นประโยชน์ เห็นไหม นี่โลกุตตรปัญญา นี่พูดถึงพุทธศาสน์ไง

แต่เวลาพอพุทธศาสน์เกิดขึ้นมาแล้ว อย่างเช่นพูดเมื่อกี้นี้ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไปทรมานองคุลิมาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาไปทรมานองคุลิมาล ก่อนจะไปองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเล็งญาณแล้ว เพราะองคุลิมาลมีอำนาจวาสนา เป็นคนดีคนหนึ่งนะ สิ่งที่ทำๆ ไปเพราะความหลงผิด ความเชื่อ

เป็นคนดีมาก เป็นคนเชื่อว่าอาจารย์จะให้วิชาการ ทีแรกไปอยู่นะ ไปอยู่ด้วยกัน เห็นไหม ลูกศิษย์เป็นคนดีไง ทำหน้าที่การงานอุปัฏฐากครูบาอาจารย์ดีมากเลย แล้วเรียนหนังสือก็เก่ง ลูกศิษย์ด้วยกันอิจฉา พออิจฉาก็ใส่ความไปเรื่อย คนโน้นก็ใส่ความ คนนี้ก็ใส่ความ ใส่ทุกเรื่อง สุดท้ายอาจารย์ก็

ทุกอย่างเป็นคนดีนะ พื้นฐานเป็นคนดีหมดเลย แต่มันด้วยกิเลสตัณหา ด้วยอิจฉาตาร้อน ด้วยต่างๆ มันยุแหย่ไง ยุแหย่อย่างไรอาจารย์ก็ว่าลูกศิษย์เราอย่างไรก็ไม่คิดล้างครูนะ อาจารย์ก็คิดว่าสอนวิชาการให้ลูกศิษย์ทั้งหมด มันก็มีเทคนิคที่เหนือกว่า ยังมีแบบหนังจีนว่า “เพลงดาบที่เหนือกว่า” เก็บไว้ปราบได้ อย่างไรก็ยังได้หมด เข้าไปยุว่ามันจะคิดล้างครู มันจะอะไร ยุหมดนะ ยุอย่างไรก็ไม่หวั่นไหวเพราะเขาเป็นคนดีคนหนึ่ง

สุดท้ายบอกว่ามันจะเป็นชู้กับเมีย สุดท้ายนะบอกว่ามันจะเป็นชู้ โอ เท่านั้นนะ ถ้าอย่างนั้นจบแล้ว ก็เลยวางแผนว่ามีวิชาที่ดีมากๆ แต่การจะเรียนวิชานี้ ต้องเอานิ้วของคนพันนิ้ว คือโดยกลกุศโลบาย คือคิดว่าคนจะฆ่าคนพันคน จะอยู่ในสังคมไม่ได้หรอก มันจะต้องโดน นี่คนที่มีปัญญา จะฆ่าคนด้วยปัญญา ไม่ได้คิดทำลายเขาเพราะถือว่าตัวเองก็มีเกียรติ ถ้าเราอาจารย์ไปฆ่าลูกศิษย์ มันจะเสียชื่อเสียงมาก ก็วางกุศโลบายฆ่าคนด้วยปัญญา ว่ามีวิชาการที่ดีมาก แล้วให้ไปฆ่าคนเอานิ้วคนพันนิ้วมาเพื่อเป็นขึ้นครูเพื่อจะศึกษาวิชาการนี้ ตัวเองก็อยากได้วิชา ลืมไปเลยว่าจะไปฆ่าคนเพื่อเอานิ้วมาแลกกับวิชานี้

นี่ไง เริ่มต้นโดยเจตนานี่ดีหมดเลย แต่เพราะโดนลูกศิษย์ยุแหย่ แล้วอาจารย์ก็มีหลักมีเกณฑ์ กว่าอาจารย์จะเชื่ออย่างนี้ได้นะ ก็มีเรื่องเป่าหูมาตลอด จนพออาจารย์เชื่อก็จะหากุศโลบายจะฆ่า จะยืมมือทางราชการฆ่า ก็เอานิ้วคนก็ไปตัด ไปตัดนิ้วคนอยู่เรื่อย นี้มันก็ขจรขจายไป ขจรขจายไปถึงแม่ แม่ก็ห่วงลูกใช่ไหม ห่วงลูกว่ากษัตริย์เขากำลังตั้งจะเอากองทัพทั้งกองทัพมาปราบมหาโจรคนนี้คนเดียว แม่ก็กลัวลูกจะตาย แม่ก็จะมาบอกลูก เพราะแม่อยู่ในเมือง ไม่คิดว่าลูกจะไม่รู้ไง ด้วยความรักของแม่

พระพุทธเจ้าเล็งญาณ นี่พูดถึงว่าเล็งญาณ เห็นไหม จะบอกว่าเขาก็มีศักยภาพของเขา แล้วเขาเรียนมาไง เรียนมาจนทางวิชาการว่าถ้าเขาวิ่งนะ วิ่งเร็วกว่าม้า ในธรรมบทอธิบายไว้หมด ถ้าองคุลิมาลวิ่ง วิ่งเร็วกว่าม้า ระบบรถศึก ระบบแบบว่าระบบขีปนาวุธสมัยปัจจุบันนี้จะหนีพ้นจากการควบคุมขององคุลิมาลไม่ได้เลย นี่ก็เหมือนกัน ม้าที่เร็วที่สุด ทุกอย่างที่เร็วที่สุด จะไม่มีใครหนีพ้นจากเงื้อมมือขององคุลิมาลได้ เขามีศักยภาพขนาดนั้น ฉะนั้นใครมาเขาเอาฆ่าได้หมดล่ะ

นี้พอถึงที่สุดแล้วแม่มา พระพุทธเจ้ารู้ขนาดนั้นนะ ถ้าแม่มา ลูกก็ต้องรักแม่ แต่ด้วยจิตใจที่มันฆ่าคนไว้มาก มันตกต่ำขนาดนั้น มันจะไม่ต้องการแล้ว มันต้องการวิชาอย่างเดียวคือเป้าหมายอันสุดท้าย จะต้องเอานิ้วที่ ๑,๐๐๐ ไง นี้พอแม่มาก็ต้องฆ่าแม่ ถ้าฆ่าแม่ เพราะด้วยจิตใจที่มันนั้น ก็เล็งญาณแล้วเห็น เห็นศักยภาพว่าจะเป็นพระอรหันต์ได้ด้วย เห็นว่าถ้าไม่มาจะเสียโอกาสด้วย ก็เลยมาทรมาน มาโดยฤทธิ์

พอมาโดยฤทธิ์ พอมาเจอสมณะ มันเข้าข่าย พอมาองคุลิมาลเห็นแล้ว พอเห็นแล้วก็ ถ้าช้าแม่มา นี้ตัดหน้าแม่มาก็ออกเลย เห็นไหมที่ว่าวิ่งเร็วที่สุด วิ่งเร็วที่สุดมากเลย นี้วิ่งเร็วขนาดไหนก็ไม่ทันพระพุทธเจ้า ถึงได้ตะโกนว่า

“สมณะหยุดก่อน สมณะหยุดก่อน สมณะหยุดก่อน ” สมณะหยุดก่อนเพราะอะไร?

ดูนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปทรมานชฎิล ๓ พี่น้อง ชฎิล ๓ พี่น้องบูชาไฟ เวลาพระพุทธเจ้าจะเทศน์ชฎิล ๓ พี่น้องนะ บอกเลยนะ “ไฟเป็นของร้อน ตาเป็นของร้อน หูเป็นของร้อน” พระพุทธเจ้าจะทรมานใคร จะทรมานตรงกับจริต ตรงกับสิ่งที่มันหมักหมมในใจของบุคคลนั้น

นี่เหมือนกัน ในเมื่อตัวเองถือว่าตัวเองวิ่งเร็วที่สุด ตัวเองคิดว่าวิ่งเร็วกว่าม้า พอวิ่งเร็วกว่าม้า พอพระพุทธเจ้าเคลื่อนไป นี่เขาวิ่งตามเลย วิ่งตามขนาดไหนก็วิ่งตามไม่ทัน จนหลุดปากออกมา

“สมณะหยุดก่อน สมณะหยุดก่อน ” “เราหยุดแล้ว เธอต่างหากยังไม่หยุด”

นี่ถ้าคิดทางโลกนะ ถ้าคิดถึงทางโลกนี่ไม่จริงแล้ว เพราะว่าเคลื่อนอยู่ วิ่งยังไม่ทันเลย บอกหยุดได้อย่างไร แต่เวลาเป็นธรรมะ เห็นไหม เราหยุดการฆ่า เราหยุดการทำลาย เธอต่างหากไม่หยุดการทำลาย มันวิ่งจากข้างนอก วิ่งโดยร่างกาย วิ่งโดยฝีเท้า กับวิ่งโดยตัณหาความทะยานอยาก

พอพระพุทธเจ้าจี้เข้าไปตรงนี้ สลดใจเลย เพราะคนเป็นคนดีอยู่ แต่มันไม่มีอะไรไปช็อกความรู้สึกอันนั้น พอพระพุทธเจ้าเทศนาช็อกความรู้สึกอันนั้นปั๊บ โอ้โฮ วางดาบนะ วิชาสุดยอดวิชาก็ไม่เอาแล้ว ไม่เอา เพราะมันเป็นตัณหาความทะยานอยาก อยากได้ อยากกระทำ อยากทำลายเขา พอพระพุทธเจ้าบอกเราหยุดแล้ว เธอยังไม่หยุด วางดาบเลย กราบเลยนะ มันสะเทือนใจมากไง

พอมันสะเทือนใจมากก็ขอบวชเลยนะ พอขอบวชปั๊บ ก่อนมาพระพุทธเจ้า อนาคตังสญาณรู้หมดแล้ว พระพุทธเจ้าถามพระเจ้าพิมพิสารก่อน บอกพระเจ้าพิมพิสารว่า “เธอจะไปไหน” จะตั้งกองทัพ เพราะส่งไปทีไรก็โดนองคุลิมาลฆ่าหมด คราวนี้จะเอาแต่นักรบเก่งๆ แล้วกองทัพใหญ่มา แล้วพระพุทธเจ้าก็บอกว่า “ถ้ามหาโจรนั้นบวชเป็นภิกษุแล้ว มหาบพิตรจะยกโทษให้ไหม?”

พระเจ้าพิมพิสารรับปากไว้หมดแล้ว “ถ้าเขาเป็นแบบว่าจากมิจฉาทิฏฐิเป็นสัมมาทิฏฐิ เขาเป็นคนดี จะให้อภัยไง”

พระพุทธเจ้าก็เลยมาทรมานองคุลิมาล แล้วองคุลิมาลบวช พอบวชเสร็จแล้ว โอ้โฮ พาเข้ามาในเมืองนะ คนตื่นเต้นกันไปหมดเลย

แต่กรรมมันมีนะ เวลาพูด ฤทธิ์อันนี้ทำให้เป็นพระอรหันต์ได้ แล้วที่เวลาคาถาคลอดลูก เพราะสมัยนั้นพอองคุลิมาลบวชพระแล้วนะ พอไปไหนคนจะแตกตื่นกลัวมาก มันมีอยู่วันหนึ่งบิณฑบาตไป มีผู้หญิงท้องไง พอผู้หญิงท้อง เขาก็ทำงานประจำวันของเขา พอองคุลิมาลบิณฑบาตไป ด้วยความกลัว ถ้าองคุลิมาลบิณฑบาต ทุกคนจะวิ่งหนีหมด วิ่งหนีหมดเลยนะ ไม่กล้า

แล้วพอวิ่งหนีหมดปั๊บ ผู้หญิงคนนี้วิ่งหนีไม่ทัน หกล้ม พอหกล้ม องคุลิมาลก็ไปปลงธรรมสังเวชไง (ถ้าพูดภาษาบาลีเราจำไม่ได้) “น้องหญิง ขอให้คลอดด้วยความสะดวกเถิด”

แบบว่าด้วยความตกใจ คนท้องนะ แล้วล้ม องคุลิมาลก็ไปปลงธรรมสังเวช แล้วก็ไปพูดเป็นภาษาบาลีเหมือนกับกล่าวๆ “น้องหญิง ขอให้คลอดด้วยความสะดวก” ก็เลยคลอดง่าย อะไรง่าย คาถาคลอดลูกก็เป็นคาถาขององคุลิมาล

แล้วเวลาไปบิณฑบาตนะ เขาจะยิงนกตกปลาแล้วแต่ หินก้อนนั้นจะมาโดนหัวองคุลิมาล บิณฑบาตกลับมาจะมีเลือดกลับมาทุกวันเลย ดูสิ คนมีฤทธิ์มีเดชขนาดนั้นนะ ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสียใจมากเลย “ทำไมมันเป็นแบบนี้?” เวลาทำเขามันก็ทำได้ด้วยหัวใจ แต่เวลาโดนกระทบกระเทือนโดยกรรม กรรมมันจะตามมา พอกรรมตามมา โอย เสียใจมาก “ทำไมมันมีแต่บาดแผลกลับมาทุกวัน?”

“องคุลิมาล เวลาเธอทำเขา เธอทำทั้งชีวิตนะ ไอ้นี่มันเศษกรรมอย่างนี้” องคุลิมาลก็เลยทำใจได้ไง

เวลาทำลาย เวลาจะว่าฆ่าคน ๑,๐๐๐ คน แล้วมันไม่มีเศษกรรม ไม่มีอะไรเหรอ? มันก็มีของมันใช่ไหม? แต่มันแก้ไขกันจบไปชาตินี้ไง คือถ้าองคุลิมาลเป็นพระอรหันต์แล้ว เศษกรรมมันจะตามมาทัน แต่ไม่ทันทางหัวใจ ถึงที่สุดแล้วนะ กรรมอันนี้จะไม่ทันพระอรหันต์ พระอรหันต์ไม่มีกรรมแล้ว แต่เศษกรรมที่ทำไว้ชาติสุดท้ายมันจะตามมาตลอดเลย องคุลิมาลเสียใจมาก

นี้กลับมาที่ว่าการเคลื่อนไป การเคลื่อนไปนี่มันการเคลื่อนไปของศักยภาพของพระพุทธเจ้า ไอ้คำว่ามิติก็คือมิตินี้แหละ มิตินี้ ถ้าเป็นอีกมิติหนึ่งมันก็เป็นกามภพ รูปภพ อรูปภพใช่ไหม เป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม นี่เป็นคนละมิติกัน อย่างเช่นถ้าเราบอกว่าแมลงวัน ๗ วัน เรามนุษย์นี่ ๑๐๐ ปีอายุขัย เห็นไหม แล้วสัตว์ตัวอื่นๆ อายุขัยก็แตกต่างกันไปใช่ไหม อย่างสุนัขประมาณ ๑๐ ปี ถัวเฉลี่ยสุนัขอายุ ๑๐ ปี เต่าอายุเป็น ๑๐๐-๓๐๐ ปี อายุของเต่า เห็นไหม อายุของสัตว์มันแตกต่างกัน อย่างนี้คนละมิติไหม ไม่ใช่ มิติเดียวกันใช่ไหม?

พอเป็นมิติเดียวกัน เพราะเราอยู่ในมิติของมนุษย์ ในมิติของโลก มันมีสัตว์เดรัจฉานแล้วก็มีมนุษย์ แต่พออีกมิติหนึ่งไป มันก็ไปเริ่มตั้งแต่สัมภเวสี นรกอเวจี อันนั้นมันคนละมิติแล้ว ฉะนั้นเวลาเราตาย สังเกตได้ไหม (ไม่อยากพูดนะ) เวลาคนประสบอุบัติเหตุแล้วมันเฝ้าตรงนั้น นั่นน่ะสัมภเวสี แสวงหาที่เกิด เพราะอะไร เพราะเวลาเราตาย เห็นไหม อย่างเรานี่พอถึงเวลาเราแก่ตาย เราหมดอายุขัย จิตมันก็ไปอีก ไปตามเวรตามกรรมที่มันหมุนไปในวัฏฏะ

ทีนี้เราอายุขัยมันจะตาย มันยังไม่ถึงอายุขัย เราประสบอุบัติเหตุ อายุขัยเรายังไม่ตายแต่ประสบอุบัติเหตุไป มันก็ไปอีกมิติหนึ่ง นี่ไงที่ว่าพระพุทธเจ้าอยู่คนละมิติ

ถ้าเราไปอีกมิติหนึ่ง มันยังไม่ถึงซึ่งอายุขัย มันเป็นสัมภเวสี แล้วบอกจิตนี้ไม่เคยเว้นวรรค จิตนี้ไม่เคยว่าง แล้วเวลาตายไป ถ้าตายไปตามอายุขัย มันก็เกิดภพชาติไปเลย แต่ถ้ามันไม่ถึงอายุขัย มันตายไป มันไปเกิดเป็นสัมภเวสี มันเป็นภพไหม เป็นภพหนึ่ง ใช่ไหม? สัมภเวสีนี่เป็นภพหนึ่งไหม เป็น สัมภเวสีเป็นภพหนึ่งเพราะสัมภเวสีต้องแสวงหาที่เกิดต่อไปอีก

นี้สัมภเวสีมันเกิดแล้ว เกิดเป็นสัมภเวสี แต่มันไม่ได้เกิดตามเวรตามกรรม ตามภพตามชาติอันนั้น มันก็ต้องไปอาศัยตรงนี้ กาลเวลานี้มันก็ยืดออกไป ยืดออกไปเพราะอะไร?

อย่างเช่นอายุขัยเรานี่นะ ๑๐๐ ปี ถ้าเรา ๕๐ ปีตายเห็นไหม ถ้าเรายังไม่ตาย อีก ๕๐ ปีอีก ๑๐๐ ปีเราก็ตายไปก็จบ ทีนี้พอเราบอกเรา ๕๐ ปี ถ้าเราอยู่ในโลกนี้เราอยู่อีก ๕๐ ปีเราก็หมดอายุขัย แต่พอไปอยู่สัมภเวสีนี่ ๕๐ ปีของเขากับ ๕๐ ปีของเราต่างกันละ พอมันต่างกัน ความต่างกันเวลานี่ต่างกัน พอมันต่างกัน พอเอาเวลามาเทียบกัน มันเทียบกันไม่ได้ พอมันเทียบกันไม่ได้ นี่ถึงว่าผลของวัฏฏะ

พอผลของวัฏฏะ ถ้ามันเวียนตายเวียนเกิด มันอยู่ที่ผลของวัฏฏะที่ให้เราเกิดภพชาติไหน พอเกิดภพชาติไหน มันเวียนไป อันนี้มันเป็นกาลเวลาที่พระพุทธเจ้าพูดไว้อยู่ในพระไตรปิฎกนะ แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติไป สิ่งนั้น ไม่อย่างนั้นเวลาเราปฏิบัติกัน ถ้ายังสงสัยในหัวใจ ถ้าจิตใจยังมีความสงสัยอยู่ สงสัยเรื่องกาลเวลา สงสัยเรื่องมิติ สงสัยเรื่องภพนี่นะ เราก็ต้องติดกับมันไง

แต่ถ้าเราเห็นหมดเพราะอะไรรู้ไหม เพราะว่า ดูหลวงตาท่านพูดคำนี้ “พุทโธสะเทือนสามโลกธาตุ” เรากำหนดพุทโธนี่มันสะเทือนสามโลกธาตุ เพราะตัวจิตนี่มันไปกำหนดพุทโธ ตัวจิตนี่มันเกิด-ตายตั้งแต่กามภพ รูปภพ อรูปภพ ทีนี้พอถ้าจิตตัวนี้เราพุทโธ ตัวจิตนี่มันเป็นตัวแกนตัวหลักของสามโลกธาตุ นี้พอมันเกิด-ตาย มันหมุนไปตามสามโลกธาตุนี้ ไปเกิดลงวาระไหนเท่านั้นเอง แล้วถ้ามันลงวาระไหน มันไปเพราะใคร ไปเพราะมีตัวจิต

นี้ถ้าตัวจิตเวลามันประพฤติปฏิบัติเข้าไป มันชำระล้างมันตั้งแต่โสดาบัน โสดาบันอีก ๗ ชาติ สกิทาคามี ๓ ชาติ อนาคามีนี่กามภพไม่มีแล้ว มันจะเหลือรูปภพเหลืออรูปภพ นี่อรูปภพมันก็หนึ่งเดียวแล้ว พอหนึ่งเดียว แต่ถ้าพอทำลายจิตหมดแล้ว ถึงว่าพระอรหันต์ไม่มีจิต ไม่มีจิตเพราะอะไร ไม่มีจิตเพราะไม่มีภพ ไม่มีสถานที่ ไม่มีมารอาศัย ไม่มีสิ่งใดๆ เลย ถ้าไม่มีสิ่งใดๆ เลย มันพ้นออกไปกามภพ รูปภพ อรูปภพ

นี่พูดถึงจะบอกว่าถ้าจุดเริ่มต้นคือตัวแกน คือตัวหลัก คือตัวจิต ถ้ามันมีอะไรไป ถ้ามันไม่ไป มันมีอะไรที่มันไม่ไป แล้วถ้ามันไม่ไป สิ่งที่มันไป ภพ ปฏิสนธิจิตที่มันไป แล้วถ้ามันไม่ไป มันเข้าใจหมดแล้ว ทำไมมันถึงไม่ไป? แล้วไม่ไปไปอยู่ที่ไหน? อยู่ได้อย่างไร? อยู่อย่างไร? สิ้นกระบวนการของการเวียนตายเวียนเกิดมันเป็นอย่างไร?

ถ้ากระบวนการนี้เรารู้ไม่ได้ เราทำเข้าใจไม่ได้ มันต้องไหลไปแน่นอน ถ้ากระบวนการนี้มันจบแล้ว ที่กระบวนการเราเป็นเจ้าของวัฏฏะ เราเป็นเจ้าของที่รับรู้สิ่งที่มันเวียนตายเวียนเกิด ถ้าเราเข้าใจตรงนี้หมดแล้ว มันไม่ไปแล้ว ข้างนอกเราเข้าใจได้ไหม?

นี่ไงสุคโต ในพระพุทธศาสนาบอกสุคโต ถ้าปัจจุบันเราสุคโตแล้ว เราล้างภพล้างชาติที่ใจเรานี้ ถ้าล้างภพล้างชาติที่ใจเราจบแล้วนะ จบหมดเลย ถ้าพอจบที่นี่แล้ว พอที่นี่จบมันก็เข้าใจ เวลาในเทศน์จะบอกเลยว่า นรก สวรรค์ อเวจีต่างๆ มันเหมือนกับป้ายรถเมล์ รถเมล์มันจอดตามป้าย จอดตามป้าย ป้ายก็คือป้ายใช่ไหม? รถเมล์เข้าไปจอดป้ายใช่ไหม?

จิตเหมือนรถเมล์ มันเกิดในกามภพ รูปภพ อรูปภพ นี่มิติไง รถเมล์ป้ายหนึ่งก็เหมือนมิติหนึ่ง มิติหนึ่ง มิติหนึ่ง เวลารถเมล์เข้าไปจอดป้ายนี้ก็มิตินี้ ป้ายนี้ก็มิตินี้ ไอ้จิตที่ไปเกิดตามกามภพ รูปภพมันก็ไปเกิดตามมิตินี้ แล้วพอมันทำลายจิตหมดแล้ว มิติอยู่ไหม? ป้ายรถเมล์อยู่ไหม? รถเมล์คันนี้โดนทำลายหมดแล้ว รถเมล์คันนี้โดนย่อยสลายหมดแล้ว ป้ายรถเมล์ยังอยู่ไหม อยู่ อยู่เพราะอะไร? อยู่เพราะรถเมล์คันอื่นยังต้องใช้อยู่

นี่ไง ครูบาอาจารย์ท่านจะบอกว่านรก สวรรค์ อเวจีต่างๆ พระพุทธเจ้าไม่ได้สร้าง ไม่มีใครทำมันขึ้นมา มันเป็นธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น เรื่องวัฏฏะมันมีของมันอยู่อย่างนั้น แต่จิตของเรามันหมุนตามนั้นต่างหาก หมุนตามด้วยกำลังของเวรของกรรม แล้วพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ตรัสรู้ธรรมเพราะชำระล้างตรงนี้สะอาด ถึงเห็นว่าเพราะจิตนี้มันสะเทือนสามโลกธาตุเพราะมันไปหมุนตามมิติ มันไปอยู่ตามวาระ มิติที่มันไปพักอาศัย แล้วพอทำตรงนี้จบแล้วมันก็จบตรงนี้

พอจบตรงนี้ปั๊บ จบนี้จบแล้ว “สอุปาทิเสสนิพพาน” พระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ เห็นไหม แต่พอพระพุทธเจ้านิพพาน พอพระพุทธเจ้าตาย นั่นน่ะหมดแล้ว นี้ขณะที่อยู่ที่ว่าพระพุทธเจ้ามีสิทธิอะไร มีอำนาจอะไรเข้าไปอยู่มิติอื่น?

ไม่ได้อยู่ พระพุทธเจ้าไม่ได้ไปอยู่มิติใดเลย ถ้าอยู่ในมิติใดมิติหนึ่ง นั้นก็ยังมีการเกิดไง

พระพุทธเจ้าชำระมิติหมดแล้ว ไม่มีมิติ ไม่มีสิ่งใดๆ ไม่มีภพ ไม่มีสถานที่ ไม่มีอะไรเลยที่จิตของพระพุทธเจ้าจะต้องไปอยู่อีก ไม่เกี่ยวกับมิติเลย เอามิติมาเกี่ยวกับกรณีนี้ของขณะที่องคุลิมาลได้ องคุลิมาลอย่างนั้น แต่พระพุทธเจ้าไม่มีนะ พระพุทธเจ้านี่พ้นจากมิติ จิตของพระพุทธเจ้าพ้นจากมิติ พ้นจากการให้ค่า การคำนวณใดๆ ทั้งสิ้น เพราะมันพ้นไปแล้ว

นี้พอจิตที่พ้นไปแล้วจะกลับเข้ามาสู่มิติอีกไม่ได้ จิตที่พ้นออกไป จิตพระพุทธเจ้าพ้นออกจากมิติแล้วจะกลับเข้ามาอยู่มิติอีก กับพระอรหันต์ที่พ้นออกไปจากมิติ พ้นไปต่างๆ แล้วจะกลับมาอีกไม่ได้เลย ฉะนั้นถึงเอาคำว่ามิติหรือสถานที่ กำลังอะไรต่างๆ มาวัดใจของพระพุทธเจ้าไม่ได้ ไม่เกี่ยวกัน ทีนี้ทางวิชาการ ถ้าทางวิชาการเขาบอกว่าทางวิชาการมันทำวิจัย มันทำอะไรก็ได้ เพราะทางวิชาการเพราะว่าการฝึกปัญญา การค้นคว้าของจิตของเขา

แต่ถ้าพูดถึงการประพฤติปฏิบัติ ถ้าพูดถึงหัวใจ ถึงความเป็นจริง มิติในหัวใจของที่ว่ามิติของพระพุทธเจ้ากับมิติขององคุลิมาล ไม่ใช่ เพราะในขณะนั้นพระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ พระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่เพราะอะไร เพราะพระพุทธเจ้าสิ้นกิเลสแล้วแต่ยังมีชีวิตอยู่นะ “สอุปาทิเสสนิพพาน” พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ พระอรหันต์เป็นที่ไหน? พระอรหันต์เป็นที่หัวใจ

เพราะหัวใจนี่เวลาสุข-ทุกข์ การเกิด ปฏิสนธิจิตมาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติไป อาสวักขยญาณทำลายภพ ทำลายชาติ ทำลายมิติต่างๆ ในหัวใจหมดแล้ว สอุปาทิเสสนิพพานคือพระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ อนุปาทิเสสนิพพานคือพระอรหันต์ที่ตายแล้ว ฉะนั้นบอกว่าพระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่กับพระอรหันต์ที่ตายแล้วคืออันเดียวกัน เพราะจิตอันนั้นเป็น

นี้จิตอันนั้นเป็นนะ พอคนเกิดมาเป็นมนุษย์ เราเกิดมาทุกข์ๆ ยากๆ เกิดมามีเวรมีกรรม ถ้าเราปฏิบัติไม่ถึงที่สุด เราก็ต้องถึงตายไปโดยเวรกรรมของเราต่อไป แต่พอถ้าใครปฏิบัติถึงที่สุดแห่งทุกข์ เห็นไหม เป็นพระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ จิตที่เป็นพระอรหันต์อันนี้ มันเป็นพระอรหันต์ตั้งแต่ตอนนั้น

พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิต กับพระอรหันต์ที่ตายแล้ว กับพระอรหันต์ต่างๆ ที่ในจักรวาลนี้อันเดียวกัน อันเดียวกันคือว่าพ้นจากมิติทั้งหมด ฉะนั้นถึงว่าบางคนบอกว่า พระอรหันต์ที่มีชีวิตกับพระอรหันต์ที่ตายแล้วมันคนละส่วนกัน ไม่ใช่ อันเดียวกัน มันอันเดียวกัน มันเป็นเอโกธัมโมเหมือนกันหมด มันเป็นอันเดียวกันหมดเลย

ฉะนั้น พระพุทธเจ้าถึงพ้นจากมิติไป แต่องคุลิมาลยังอยู่ในมิติ ถึงมีความคิดไง ยังมีถึงว่าหยุดก่อน หยุดก่อน สมณะต้องหยุดก่อน เห็นไหม เพราะด้วยความคิดตัวเองว่าตัวเองมีความรู้ขนาดนั้น โดยฐานของความคิดขององคุลิมาลมีเท่านั้น ไม่เข้าใจเรื่องของหัวใจที่พ้นจากมิติไปแล้ว

ทีนี้มันก็ย้อนกลับมาวังคีสะ ที่เป็นหมอดูที่มีความชำนาญมาก หัวกะโหลกนี่เคาะปั๊บรู้เลยไปเกิดที่ไหน นี้ไปหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็เอาหัวกะโหลกมาเรียงกันเลย มีหัวกะโหลกพระอรหันต์ด้วย เขาก็เคาะดูว่าอันนี้ไปนรก อันนี้ไปสวรรค์ พระพุทธเจ้ารับรองหมด พอไปเคาะหัวพระอรหันต์ป๊อกๆๆ หมด หมดสิทธิ์ นึกไม่ออก นึกไม่ได้

นี่ที่อยู่ในมิติ เห็นไหม ป๊อกๆๆๆ ไปนรกชั้นไหน ป๊อกๆๆๆ ไปสวรรค์ชั้นไหน ป๊อกๆๆๆ ไม่มี ไม่มี มีมิติกับไม่มีมิติต่างกันละ พอต่างกันแล้ววังคีสะงง เพราะตัวเองถือว่าตัวเองมีปัญญามาก ตัวเองถึงควบคุมทุกๆ อย่าง เข้าใจได้หมดเลย ทีนี้พอมาจนมุมกับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าถามว่า “แล้วอยากรู้ไหม? อยากเรียนไหม?”

เรานี่เราว่าเราเป็นนักปราชญ์ เรามีความชำนาญมาก แต่ถึงที่สุดแล้วมันไปจนตรอก มันแบบมันรู้ไม่หมด อยากรู้ต่อ

“ถ้าอยากรู้ต่อ ให้เรียนเลย ให้บวชมา”

พอบวชมาให้กำหนดพุทโธ พุทโธ พุทโธ พอพุทโธ ตัวเองเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา จบเลย พอเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาจบแล้ว พ้นจากมิติแล้ว พ้นจากมิติก็เข้าใจถึงว่าเคาะป๊อกๆๆ ที่มันไม่มี มันไปไหน แล้วตัวเองพอเข้าใจถึงตัวเองปั๊บ อ้อ นี่เข้าใจหมดเลย แต่ก่อนหน้านั้นไม่รู้

นี่ถึงบอกว่าไอ้คำว่ามิติ วิทยาศาสตร์เรามันสูตรตายตัว มันมีทฤษฎีครอบแบบว่าต้องเป็นตายตัวอย่างนั้น ถึงบอกว่าพระพุทธเจ้าก็ยังอยู่ในมิติ หรือถ้าคิดว่าพระพุทธเจ้าอยู่คนละมิติ องคุลิมาลถึงไม่ทัน เห็นไหม เพราะฐานความคิดว่าพระพุทธเจ้าก็มีชีวิต องคุลิมาลก็มีชีวิต ฉะนั้นสิ่งที่มีชีวิตโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยากอันหนึ่ง กับมีชีวิตโดยที่พ้นจากกิเลสไป เขาไม่เข้าใจตรงนี้ เขาถึงบอกว่าหรืออยู่คนละมิติ

ไม่อยู่คนละมิติ มิติเดียวกัน เพียงแต่ว่าพอเป็นพระอรหันต์ปั๊บ พระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์อีก ๔๕ ปีเป็นพระอรหันต์หมดเลย พอเป็นพระอรหันต์ปั๊บ นี่ยังมีชีวิตอยู่ สิ่งที่มีชีวิตอยู่ตรงนี้มันเป็นผล อย่างเช่นของสกปรก ถ้าอยู่ของสกปรกนั้น อย่างเช่นกองขยะก็ต้องรอให้กองขยะมันย่อยสลายไปหมดเลย มันถึงจะหมดใช่ไหม แต่ถ้ากองขยะนี่รีไซเคิลมาเป็นวัตถุที่ใช้งานเป็นประโยชน์ มันจะเป็นประโยชน์เห็นไหม

ใจคนก็เหมือนกัน ถ้ามันเป็นกองขยะ มันเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เราจะเป็นกองขยะตั้งแต่เกิดจนตาย แต่พอมันเป็นกองขยะ หัวใจนี่เป็นกองขยะ แต่เราใช้รีไซเคิลด้วยมรรคญาณ ด้วยทำลายอวิชชาหมดแล้ว จิตนี่ไม่มีแล้ว จิตนี้หมดแล้ว แต่ร่างกายยังมีอยู่ มันถึงบอกว่าสอุปาทิเสสนิพพาน-พระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่ มันเป็นประโยชน์กับชาวโลกมหาศาลเลย

เพราะความจริง ถ้าเราเป็นชาวโลกด้วยกัน อยู่ในวัฏฏะด้วยกัน คนเราจะเกิด-ตายโดยธรรมชาติ ที่ไหนมีการเกิดต้องมีการตาย เราตายไปแล้วต้องเกิดหมด เว้นไว้แต่พระอรหันต์ พระอรหันต์นี่สิ่งที่จะตายคือรอไง รอกาลเวลาให้มันถึงซึ่งหมดอายุขัยนี้เท่านั้น แล้วมันไม่มีการเกิดอีกแล้วเพราะมันสิ้นกิเลส กองขยะนั้นได้รีไซเคิลหมดแล้ว ได้ทำลายหมดแล้ว มันจะไม่มีการเกิดอีก พอไม่มีการเกิดอีก เราจะไม่ได้เจอจิตอย่างนี้อีกแล้ว จะไม่ได้มีโอกาสเจอเลย

แต่ในปัจจุบันนี้ท่านยังไม่ตาย ท่านยังมีชีวิตอยู่ เราได้เจอของจริงๆ ไง คือเราได้จับต้องพิสูจน์ได้ไง พิสูจน์ใจที่เป็นเอโกธัมโมได้ เอาสิ่งนี้มาเทียบเคียงได้ นี่มันประโยชน์มหาศาลเลย แต่สำหรับตัวท่านเองไม่มีประโยชน์อะไรกับท่านแล้ว เพราะว่าท่านได้ชำระกิเลส ท่านได้ทำลายกองขยะนั้นหมดแล้ว ใจท่านเป็นธรรมแล้ว ใจท่านเป็นเอโกธัมโมแล้ว

นี่ไงถึงว่าเราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา เห็นไหม มีครูบาอาจารย์พูดบ่อยมาก ว่าพระพุทธศาสนานี่เราได้ทำบุญกุศล เพราะมีพระภิกษุเป็นเนื้อนาบุญของโลก เนื้อนาบุญดีมาก-น้อยแค่ไหนในพระไตรปิฎกบอกไว้แล้ว ตั้งแต่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอัครสาวก พระอรหันต์ พระอนาคามี พระสกิทาคามี พระโสดาบัน ถ้าไม่มี ไม่มีให้ทำสังฆทานซะ ทำสังฆทานปั๊บมันเป็นสาธารณะ

นี้พอสังฆทานเราก็ไปติดตรงนั้นกัน สังฆทานหมายถึงว่าเจตนาของเราเป็นสาธารณะ เราไม่ติดบุคคลใดๆ ก็เป็นสังฆทานแล้ว แต่ทางวิชาการเขาพยายามจะบวกกันว่าสังฆทานต้องเป็นอย่างนั้น มันเป็นวัตถุ ถ้าสังฆทานเป็นอย่างที่เขาบอกต้องมีส่วนประกอบของเครื่องไทยทานนะ โรงงานอุตสาหกรรมที่ทำเครื่องไทยทาน มันเป็นคนทำเอง มันเป็นโคตรสังฆทานเลยนั่นน่ะ

มันเป็นอยู่ที่เรา เราเป็นคนเรามีเจตนาของเราเอง ไอ้นั่นมันแค่ส่วนประกอบการแสดงออกของจิตเท่านั้น ถ้าใจยังเป็นสังฆทาน เราจะได้สังฆทานแล้วเราจะเป็นความพอใจของเราแล้ว

นี่พูดถึงมิติไง อธิบายว่าถ้าเขาบอกมิติ มันก็เป็นความคิด เป็นเจตนา เป็นทางวิจัยของผู้ที่มีอยู่ในมิติ มันก็คิดได้เท่านั้น ไม่ติดใจ ไม่ได้ว่าใคร เพราะมันอยู่ที่วุฒิภาวะ ใจของคนที่ไม่มีหลักมีเกณฑ์เขาคิดได้เท่านั้น จะทำวิจัยขนาดไหนมันก็เป็นโลกียปัญญา-ปัญญาของโลก แต่ถ้าเป็นปัญญาของธรรม มันจะเข้าใจสภาวะแบบนั้น มันจะมีเหตุมีผลของมันในการประพฤติปฏิบัติ แล้วจะมีเป็นความจริงมากกับใจของเรา เราลองประพฤติปฏิบัติดู สิ่งนี้มหัศจรรย์มาก

เราพูดบ่อยนะกับลูกศิษย์ เวลาเราปฏิบัติอยู่นะ เวลาจิตมันหมุน ปัญญามันหมุน อู๋ย สนุกมากนะ เราจะบอกเลย เราไม่เคยเล่นเกมส์ เราทำอะไรไม่เป็น แต่เราใช้ปัญญาใคร่ครวญเพื่อเปรียบเทียบมาเป็นบุคคลาธิษฐาน เวลาเห็นเด็กมันกดเกมส์กด เราบอกว่ามึงมันส์สู้ปัญญากูหมุนไม่ได้หรอก ระหว่างกิเลสกับธรรมมันสู้กันมันส์กว่านี้เยอะเลย มันเห็นจริงๆ ไง มันเห็นกิเลสมันเกิดเรากดเราไม่ได้คะแนนเลย แต่ถ้าเวลาธรรมมันเกิด โอ้โฮ คะแนนมันให้เต็มไปหมดเลย จะมีความสุขมาก มันเหมือนเกมส์กด เหมือนเด็กที่มันเล่นเกมส์ เพราะเกมส์กดมันต้องกดให้เข้าเป้า มันถึงได้คะแนนของมัน ไอ้นี่มันเป็นทางเทคโนโลยี

แต่ถ้าเราสร้างของเราขึ้นมา จิตมันสงบอย่างไร แล้วจะออกรู้กาย เวทนา จิต ธรรมอย่างไร ถ้ารู้แล้ว กำลังมันเหมือนคอมพิวเตอร์ ถ้าไฟตกไฟไม่มีนะ ภาพนั้นขึ้นมาไม่ได้หรอก คอมพิวเตอร์เสียด้วย สมาธิของเราไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์ สมาธิของเรากำลังไม่พอ มันคุมภาพอันนั้นไม่ได้ มันคุมสิ่งที่เห็น คุมกระบวนการของปัญญาที่มันออกรื้อค้นหาชำระกิเลส มันทำไม่ได้ มันทำไม่ได้ปั๊บมันต้องกลับมาทำพื้นฐานของสมาธิให้มั่นคงเหมือนไฟให้นิ่ง พอไฟนิ่งแล้วไฟนี้ใช้ประโยชน์อะไร โอ้ ภาวนาไปจะรู้เหตุรู้ผลไง ทำไมมันถึงภาวนาไป? ทำไมสติมันดี? ทำไมปัญญามันก้าวเดิน? มันมีอะไรรองรับถึงปัญญาถึงมาอย่างนี้?

แล้วพอจิตมันเสื่อมเข้าไปทำไมเราทำอะไรไม่ได้เลย? ทำไมทำแล้วมีแต่ความฟุ้งซ่าน? ทำไมทำแล้วมันมีแต่หัวปักหัวทิ่มดิน? ทำโอ้มันทุกข์มันยากขนาดไหน เพราะมึงเผลออะไร? มึงขาดแคลนอะไร? สติดีไม่ดี สติดีแล้วคำบริกรรมรักษาดีไหม? รักษาอินทรีย์ รักษาหู ตา จมูก ลิ้น กายไม่ให้กระทบอะไรอย่างไร? กระทบแล้วจิตใจมันจะฟูอย่างไร? อู๋ย มันหาเหตุหาผลจากข้างนอกมานะ แล้วมารักษาตัวมันนะ พอรักษาตัวมัน มันก็ออกปัญญา โอ้โฮ มันถนอมรักษา

นี่รากฐานของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เพราะมันปฏิบัติไปแล้ว มันจะอาศัยศีล สมาธิ ปัญญาเป็นตัวหลัก นี่คือตัวหลัก นี่คือทฤษฎีนะ นี่วิทยาศาสตร์

แต่ความจริงสติอยู่ที่ไหน สมาธิอยู่ที่ไหน ปัญญาอยู่ที่ไหน มันยังไม่เกิดนะ พอเรารักษาแล้วมันเกิดขึ้นมา โอ้โฮ สติเป็นอย่างนี้ สมาธิเป็นอย่างนี้ ปัญญาเป็นอย่างนี้ พอทำไปมันมีประโยชน์ดีมากอย่างนี้

แล้วพอทำไปจนเพลิน มันเสื่อมมาอย่างนี้ มันหมดไปอย่างนี้ มันจับมันผิดพลาดแล้วมันสอนตัวเอง แล้วตัวเองฝึกฝนตัวเองขึ้นมาจนมันชำนาญขึ้นมา สนุกมากๆ สนุกจนจะอยู่คนเดียว ไม่อยากให้อยู่กับใครเลย แล้วมันหมุนของมันนะ โอ้โฮ เข้าทางจงกรมก็ เด็กมันเล่นเกมส์กดมันต้องโอ้โฮ นั่งกด ไอ้นี่เราเดินจงกรมนะ มันโอ้โฮ

พอกิเลสมันขึ้นมานะ มันฟุ้ง มันคิดไปจินตนาการไปโลกไปหมดเลย พอสมาธิมันมา มันกดไว้นะ พอกดไว้ พอปัญญามันเกิด มันเหมือนกับเราเล่นเกมส์แล้วมันได้แต้ม โอ้โฮ มันชนะ หลวงตาใช้คำนี้ หลวงตาใช้คำว่า “หัวใจของสัตว์โลกเหมือนเก้าอี้ดนตรี กิเลสนั่งหรือธรรมนั่ง” หลวงตาพูดบ่อยมาก ถ้ากิเลสนั่งก็เกมส์กดนั้นแพ้ตลอด ถ้าธรรมะนั่ง เพราะธรรมะคิดดูธรรมะนั่งเต็มหัวใจเลย เวลาวิปัสสนาไปแล้วมันปล่อย มันเป็นธรรมล้วนๆ ของหัวใจ มันมีความสุขแค่ไหนล่ะ?

แต่ถ้ายังไม่สมุจเฉทฯ มันมีความสุขชั่วคราว แล้วความสุขชั่วคราว พลังงานทุกอย่างใช้แล้วมันต้องเสื่อมธรรมดา ถึงเป็นธรรม ถึงเป็นสมาธิ ถึงเป็นปัญญา แต่มีเชื้อไข มีโลก มีอวิชชาอยู่ในหัวใจ มันก็ยังเฟื่องฟูขึ้นมาได้ ธรรมะก็จะเสื่อมลง พอเสื่อมลงกิเลสก็นั่ง พอกิเลสนั่งก็ทุกข์ยาก ก็ต้องอดนอนผ่อนอาหาร ต้องมีการต่อสู้เพื่อจะให้มีกำลังขึ้นมาต่อสู้กัน

หลวงตาใช้ว่า “เก้าอี้ดนตรี” หัวใจเรานี่เหมือนเก้าอี้ดนตรี แล้วท่านพูดคำนี้ด้วยว่า “กิเลสมันนั่งเต็มก้นเลย แล้วถ้าธรรมะมานั่งเต็มก้นเลย เต็มเก้าอี้เลย จะมีความสุขขนาดไหน?”

นี่พูดถึงประพฤติปฏิบัติ แล้วพอมันทำลายหมดแล้วนะ ถึงบอกว่าคำว่ามิติมันจะโดนทำลายหมดเลย ไม่มี ไม่มีหรอก มิตินี่มันเป็นวิบาก มิตินี่มันเป็นวัฏฏะ คำว่ามิติเห็นไหม แต่ตัวเราเอง ถ้าทำลายเราแล้ว มิติมันอยู่ข้างนอกนู่น มิติมันเหมือนป้ายรถเมล์ มันเป็นป้ายรถเมล์อยู่นู่น รถเมล์เราไม่เข้าไปในมิติ รถเมล์เราพ้นไปแล้ว เราทำลายรถเมล์แล้ว มิติไม่มี

แต่เวลาเทศนาว่าการจากพวกเราปุถุชน พวกเรายังต้องก้าวเดินอยู่ เรามีรถเมล์ เราต้องเข้าพักป้าย เพราะต้องเติมน้ำมัน เราต้องรักษารถเราเอาเข้าป้าย เอาเข้าอู่ ดูแลรักษา เอาหัวใจเราเพื่อถนอมรักษาให้ใจเราได้ออกก้าวเดินในธรรมะ แล้วเพื่อหัวใจของเรา เรื่องมิติจะจบไป มันจะเป็นเรื่องเอโกธัมโม ธรรมล้วนๆ ธรรมเหนือโลก ธรรมเหนือธรรมชาติ ธรรมจะนั่งครองในหัวใจของเรา เอวัง